วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

มาเยือนถิ่นผู้กล้า สักการะพระยาแล จ. ชัยภูมิ

มาเยือนถิ่นผู้กล้า สักการะพระยาแล จ. ชัยภูมิ

ถ้าพูดถึงชัยภูมิหลายคนคงะนึกถึงทุ่งดอกกระเจียวที่บานสะพรั่งในช่วงฤดูฝน แต่ชัยภูมิไม่ได้มีแค่นั้นนอกจากดอกกระเจียวที่บานช่วงฤดูฝนอย่างสวยงามแล้ว ยังเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกมาก บทความนี้จะพาท่านไปพบกับสถานที่ทางประวัติศาสตร์และอุทยานแห่งชาติตาดโตนที่ จ.ชัยภูมิ

สักการะพระยาแล...ที่ "บ้านหนองบัว"

พระยาภักดีชุมพล เดิมชื่อว่า "แล" เป็นชาวนครเวียงจันทน์ เคยรับราชการเป็นพี่เลี้ยงราชบุตรภายในเจ้าอนุวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้าง สมัยรัชกาลที่ 2 นายแลได้อพยพไพร่พลข้ามแม่น้ำโขงไปตั้งถิ่นฐานที่ จ.นครราชสีมา ต่อมาได้ย้ายไปที่บ้านโนนน้ำอ้อม บ้านชีลอง (อยู่ที่เขตอำเภอเมืองชัยภูมิ) และได้ทำราชการส่งส่วยต่อเจ้าอนุวงศ์ เจ้าอนุวงศ์จึงแต่งตั้งให้นายแลเป็นที่ขุนภักดีชุมพลนายกองนอก
ในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ก่อกบฏต่อกรุงเทพเพื่อแยกตัวเป็นเอกราช โดยยกทัพเข้าตีเมืองนครราชสีมา ขณะที่พักทัพอยู่ที่ทุ่งสำริด พระยาภักดีชุมพล(แล) ได้ยกทัพไปสมทบ คุณหญิงโมและครัวเรือนชาวเมืองนครราชสีมา เจ้าอนุวงศ์เกิดความเคียดแค้น พระยาภักดีชุมพลที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับฝ่ายลาว จึงย้อนกลับไปที่เมืองชัยภูมิ จับตัวพระยาภักดีชุมพล(แล) ประหารชีวิต บริเวณใต้ต้นมะขามริมหนองปลาเฒ่า
ในการเสียชีวิตของพระยาภักดีชุมพล(แล) ในครั้งนั้น เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ชาวเมืองชัยภูมิจะจดจำตลอดมา และระลึกถึงวีรกรรมครั้งสำคัญของท่าน ต่อมาชาวเมืองชัยภูมิจึงได้เรียกขานท่านด้วยความเคารพว่า "เจ้าพ่อพญาแล" และทางราชการก็ได้ร่วมกับพ่อค้าและประชาชนชาวชัยภูมิ ร่วมกันสร้างอนุสาวรีย์ของพระยาภักดีชุมพล(แล) ประดิษฐานอยู่ตรงที่วงเวียนศูนย์ราชการ ในปี พ.ศ. 2518

เยือนปรางค์กู่..โบราณสถานคู่ชัยภูมิ

ปรางค์กู่ คือ อาคารที่มีลักษณะแบบเดียวกับอาคารที่เชื่อกันว่า คืออโรคยาศาลตามที่ปรากฏในจารึกปราสาทตาพรหม ประกอบด้วย ปรางค์ประธาน บรรณาลัย กำแพงพร้อมซุ้มประตูและสระน้ำนอกที่กำแพง โดยทั่วไปถือว่าคงสภาพเดิมพอควร โดยเฉพาะกับปรางค์ประธานชั้นหลังคาคงเหลือ 3 ชั้น และฐานบัวยอดปรางค์ที่อยู่ตอนบน อาคารอื่นๆ แม้จะหักพังแต่ทางวัดก็ได้จัดบริเวณให้ร่มรื่นสะอาดตา
นอกจากนี้ ในกำแพงด้านหน้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ยังได้พบโบราณวัตถุอีกหลายชิ้นวางเก็บรักษาไว้ใต้อาคารไม้ อันได้แก่ ทับหลังหินทราย สลักเป็นภาพบุคคลนั่งอยู่บนหลังช้างหรือวัว ภายในซุ้มเรือนแก้วหน้ากาล

ลิ้มรสธรรมชาติ...ที่ ‘อุทยานแห่งชาติตาดโตน’

‘อุทยานแห่งชาติตาดโตน’ ครอบคลุมพื้นที่ ต.นาฝาย ต.ท่าหินโงม ต.ห้วยต้อน และต.นาเสียว อ.เมือง จ.ชัยภูมิ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูแลนคา มีพื้นที่รวมทั้งหมด 135,737.50 ไร่ หรือประมาณ 217 ตารางกิโลเมตร และก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำลำธารที่สำคัญของจ.ชัยภูมิ คือ ลำปะทาว และต้นน้ำชี มีน้ำตกที่มีความสวยงามหลายแห่ง อันได้แก่ น้ำตกตาดโตน น้ำตกผาเอียง และน้ำตกตาดฟ้า
ใกล้กับน้ำตกตาดโตนจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด และยังมีลานกิจกรรมใกล้น้ำตกรองรับนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อน และมาทำกิจกรรมเป็นหมูคณะได้อีกด้วย บริเวณน้ำตกเป็นลานหินกว้าง มีน้ำไหลตลอดปี เนื่องจากมีน้ำจากเขื่อนลำปะทาวถูกปล่อยมา ด่านล่างของน้ำตกจึงสามารถเล่นน้ำได้ เป็นจุดๆ แต่ช่วงหน้าฝน จะมีน้ำมาก อาจเกิดอันตรายได้

อัตราค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่40บาท เด็ก20บาท (คนไทย) / ผู้ใหญ่200บาท เด็ก100บาท (ต่างชาติ)

ติดตามที่เทียวที่พักธรรมชาติและอื่นอีกได้ที่ http://travel.sanook.com/

ทีเด็ดใหม่ 3 ร้าน ที่ควรเช็คอินในช่วงนี้ จ.กรุงเทพฯ

ทีเด็ดใหม่ 3 ร้าน ที่ควรเช็คอินในช่วงนี้ จ.กรุงเทพฯ


Ah Yat Abalone
หนึ่งในร้านติ่มซำที่ถือว่าดีที่สุดใน กรุงเทพฯ อย่าง Ah Yat Abalone ได้เปิดสาขา 2 เป็นที่รู้กันว่า Ah Yat Abalone เป็นร้านอาหารจีนกวางตุ้งที่เกิดขึ้นในไทยมามากกว่า 10 ปี ปัจจุบันพวกเขาได้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเปิดสาขาใหม่ ที่โรงแรมอโนมา ที่ยังคงมาตรฐานและคุณภาพเช่นเดียวกับอีก 19 สาขาทั่วเอเชีย

ที่สำคัญ ที่นี่มีเชฟจีนที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีถึง 7 คน และซีฟู้ดสดๆ ที่นำเข้าใหม่ทุกๆ สัปดาห์ คุณสิทธิชัย กรรมการผู้บริหารของอายัทได้กล่าวว่า “นอกจากจะมีทีมเชฟและครัวที่ดีแล้ว วัตถุดิบก็ดีและสดมากๆ อีกด้วย และนั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมเราถึงลงทุนกว่า 1 ล้านบาทไปกับอควาเรียม แทงค์ที่สามารถควบคุมทั้งอุณหภูมิและความเค็มในแต่ละตู้อย่างเหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะเห็นได้ว่าเราใส่ใจเรื่องความสดของวัตถุดิบมากจริงๆ”

เมนูที่นี่มีทั้งติ่มซำและซีฟู้ดหลากหลายจานที่เป็นที่นิยมมากๆ เช่น เป๋าฮื้อน้ำแดง (9,800 บาท), หอยไม้ไผ่นึ่งซีอิ๊ว (280 บาทต่อตัว) และ ปลาลิ้นหมานึ่งซีอิ๊ว (4,500 บาทต่อกิโล) “สั่งมาได้เลย ซีฟู้ดที่คุณอยากกินจากที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ เราจะหามาให้คุณ” คุณสิทธิชัยได้บอกกับเราแบบนี้

เมนูสาขาที่ไทย จ.กรุงเทพฯ จะคล้ายกับร้านอาหารที่ฮ่องกงมากๆเลย โดยมีวัตถุดิบเป็นไฮไลท์ของที่นี่อย่าง เป๋าฮื้อนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น,ออสเตรเลีย, เม็กซิโกและแอฟริกา แล้วถ้าอยากลองสัมผัสเป๋าฮื้อญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในโลก ให้ลองสั่ง เป๋าฮื้อโยชิฮามะนึ่งซีอิ๊ว (9,800 บาท), เป็ดปักกิ่ง (1,300 บาท), หมูบาร์บีคิว (350 บาท) และเนื้อเสือร้องไห้กับฟองเต้าหู้อบในหม้อดิน (580 บาท)

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.ipick.com/bangkok/th/restaurant/30009971

Sundays
ถึงแม้ร้านคาเฟ่จะทยอยเปิดตัวมากมาย เพิ่มสีสันให้กับกรุงเทพฯ แต่คงเป็นเรื่องยากที่จะหาร้านที่ให้ความรู้สึกได้เหมือนกับคาเฟ่เปิดใหม่อย่างร้าน Sundays ด้วยตัวตน เจ้าของร้านทั้ง 4 คน คุณเจน เมขลา เมฆวัฒนา, คุณเบิ้ล ธีรยุทธ สินเจริญ, คุณจ๋า ชลดี แจ่มปฐม และคุณโอ๊ค ณัฏฐชนัน คมกฤช ที่ต่างก็เติบโตในวงการงานศิลปะ มีความตั้งใจะร่วมกันเปิดคาเฟ่น่ารักๆ ชื่อ Sundays ด้วยคอนเซ็ปต์ที่อยากมอบความสุข ด้วยการพักผ่อน ในบรรยากาศร้านที่สุดน่ารัก เพลงย้อนยุคปี 60 ทั้งไทยและสากลตามความชอบของทีม และมีบริการที่อบอุ่นเป็นกันเอง ให้หอบเอาความประทับใจกลับบ้านกันไปได้แบบไม่ต้องเกรงใจ

นอกจากภายในร้านจะมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงา และความเย็นสบายให้แก่ห้องเรือนกระจก ตรงกลางร้านแล้ว ยังแฝงความเป็นตัวตนของแต่ละคน ด้วยของประดับร้านจากงานศิลปะ ของสะสมและภาพเพ้นต์ผนังจากฝีแปรงของคุณเบิ้ลและคุณเจนได้อย่างงดงามลงตัว

หลังได้ที่นั่งมุมเก๋ๆแล้ว ก็เตรียมมองหาจานที่น่าลองกันได้ ใครที่ท้องว่างมาทาง Sundays มีอาหารทานง่ายๆ สไตล์โฮมเมด เสิร์ฟด้วย อาทิเช่น แองเจิ้ลแฮร์น้ำพริกนรกมันกุ้งไข่กุ้ง (220 บาท), ข้าวไข่เจียวปูกุ้ง รยพริกขี้หนูซอยทอด(120 บาท)และข้าวผัดกะเพราหมูเด้ง (110 บาท) รับรองต้องถูกปากคนชอบรสจัดจ้านกันอย่างแน่นอน

ส่วนของหวาน อย่าพลาดจานนี้ที่ใครมาเป็นต้องลอง มาพร้อมวิปครีมตีสดเนื้อฟู เนียนนุ่ม อย่าง Banana Pancakes (160 บาท) มาพร้อมกับผงชินนามอนเพิ่มความหอมหวาน หรือสั่งเป็น Sundays Waffles (190 บาท) จานนี้มาพร้อมกับวิปครีมและผลไม้สด กินแล้วต้องบอกว่า บินได้เลยทีเดียว

สุดท้าย อย่าลืมสั่งดริ๊งก์เย็นๆ อย่างเชอร์รี่บอมบ์ ที่เป็นโค้กผสมกับไซรัปกลิ่นเชอร์รี่ แล้วมีท็อปไอศกรีมวานิลลาและครีมสด, Pink Lemonade น้ำเลมอนสีชมพูรสออกเปรี้ยว และอีกแก้วอย่าง Vanilla & Mint Soda เป็นโซดาเย็นๆ ซ่าๆ รสหอมหวานที่เพิ่มความสดชื่นได้ถึงขีดสุด จ.กรุงเทพฯ

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.ipick.com/bangkok/th/restaurant/30009948

Matcha Ten
Tenyuu เครือข่ายอาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงของกรุงเทพฯ ได้เริ่มขยับขยายร้านอาหารภายในเครือด้วยการหยิบเอาเมนูขนมหวานเข้ามาต่อยอดอย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัวบ้านขนมหวานชื่อว่า Matcha Ten ภายในพื้นที่เดียวกับ Tenyuu Grand บนถนนสาทรเหนือ ที่รับรองว่าต้องถูกอกถูกใจเหล่าคนรักขนมหวานทุกวัยอย่างแน่นอน

บ้านขนมเล็กๆหลังนี้ มาพร้อมกับบรรยากาศที่น่าเข้าไปพักผ่อน ด้วยโทนสีอ่อนจากผนังสีขาว และเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน เพิ่มความโปร่งโล่งสบาย ในตัวร้านมีครัวแบบเปิดขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยต้นกระบองเพชร สวนขวดและของกระจุกกระจิกเป็นรูปนกฮูกน่ารักไว้ตามมุมต่าง ๆ

นอกจากขนมหวานจานที่แฟนๆ ร้าน Tenyuu คุ้นเคยกันดีอย่าง Sho Bao ไอศกรีมแซนด์วิชแป้งซาลาเปาทอดสอดไส้ไอศกรีมที่สามารถเลือกได้ระหว่าง รสชาเขียวและวานิลลาแล้ว มีอีกจานที่ใครมาเป็นต้องสั่งแน่นอนอย่าง น้ำแข็งไสญี่ปุ่น ที่ทางร้านตั้งใจพัฒนาเทคนิคการทำมากกว่า 2 เดือนเต็มจนได้เนื้อสัมผัสของน้ำแข็งไสที่คล้ายปุยเมฆไม่ต่างกับต้นตำรับกันเลยทีเดียว ซึ่งที่นี่ไม่ได้มีแค่รสชาติประจำ แต่ยังมาพร้อมกับท็อปปิ้งที่หลากหลาย จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลให้ลูกค้าได้ลองกัน

Sakura Kakigori เป็นจานที่ทางร้านได้ใช้ดอกซากุระนำเข้าจากญี่ปุ่นมาทำครีมเนื้อเนียนที่ไว้ราดด้านบนและเยลลี่ดอกซากุระ ที่รสชาติคล้ายบ๊วยแต่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ส่วนใครที่ไม่ทันฤดูดอกซากุระนี้ ทางร้านแนะนำให้ลองไปสอบถามเมนูน้ำแข็งไสสูตรพิเศษ หรือสั่ง Matcha Kakigori มาลอง เป็นเมนูที่ทางร้านใช้ใบชาออร์แกนิกเป็นส่วนผสม แถมยังได้รสชาติที่ไม่หวานจนเกินไปด้วย

ส่วนจานที่หลายๆ คนติดอกติดใจจนต้องกลับไปทานซ้ำแล้วซ้ำอีก คือ Pancake Souffle ที่เสิร์ฟแพนเค้กเนื้อซูเฟล เนื้อสัมผัสนุ่มเนียนคล้ายกับคัสตาร์ด เข้ากันได้ดีสุดๆ กับไอศกรีมรสเปรี้ยวอย่างยูซุ หรือจะเปลี่ยนไอศกรีมเป็นรสอื่นก็ได้อร่อยไปอีกหลายๆแบบ

ใครแวะมาทานคนเดียว ทางร้านสามารถจัดขนมไซส์เล็กได้ อย่าง Chia Seed Panna Cotta เป็นแพนนาคอตต้าชาเขียว มีท้อปด้วยเมล็ดเจีย กราโนล่าและผลไม้แห้งมาให้ลองกัน หรือจะสั่งเป็น Fudge Lava ที่รองด้วยบราวนี่ทรงลูกเต๋า มีท็อปไอศกรีมวานิลลาจากเกาะมาดากัสก้า และช็อกโกแลตซอสอุ่น ๆ ให้ราดแบบเยิ้มๆ ก่อนทานด้วยนะ มาทานกันได้ที่ จ.กรุงเทพฯ

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.ipick.com/bangkok/th/restaurant/30009238

หาของกินน่าอร่อยมาเช็คอินได้อีกมากที่ http://travel.sanook.com/

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

โอทะเลแสนงาม...เมืองร้อยเกาะสดใจ..กินเงาะอร่อย...จ.สุราษฎร์ธานี

โอทะเลแสนงาม...เมืองร้อยเกาะสดใจ..กินเงาะอร่อย...จ.สุราษฎร์ธานี

'เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ'

สุราษฎร์ธานี จังหวัดท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศไทย เพราะธรรมชาติอันงดงาม ทั้งหมู่เกาะต่างๆ อย่าง เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะนางยวน เกาะเต่า หมู่เกาะอ่างทอง และพื้นที่ป่าดิบชื้นบนบกที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณหลากหลาย สายน้ำหลายสาย และสัตว์ป่านานาชนิด บทความนี้จะพาไปพบกับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดสุราษฎร์ธานี

อุทยานแห่งชาติเขาสก
สัมผัสผืนป่าที่มีความยิ่งใหญ่ลำดับต้นๆของภาคใต้ซึ่งครอบคลุมพื้นที่อ.บ้านตาขุน อ.พนม และอ.คีรีรัฐนิคม ที่นี่ประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อ 2 สิงหาคม พ.ศ.2537 ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 461,712 ไร่ โดยมีสภาพเป็นภูเขาดินและภูเขาหินปูนสูงสลับซับซ้อนและดูน่าสนใจด้วยแนวหน้าผาสูงชัน ขณะเดียวกันทางด้านทิศเหนือเป็นที่ตั้งของเขื่อนรัชชประภา ที่มีบรรยากาศของทะเลสาบเหนือเขื่อนที่สวยงาม เสียจนมีคนเปรียบเปรยว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองไทย อุทยานแห่งชาติเขาสกนั้นเต็มไปด้วยกิจกรรมท่องเที่ยวมากมาย โดยกิจกรรมที่น่าสนใจก็ ได้แก่ เดินป่า นั่งช้าง ดูนก การล่องแก่ง และเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

สำหรับนักท่องเที่ยวธรรมชาติ การเดินป่าเขาสกเพื่อหาพืชพันธุ์ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของที่นี่เลย เป็นเหมือนความฝันที่พวกเขาหวังว่าจะทำให้ได้เป็นจริงสักครั้ง นั่นคือการตามหา “บัวผุด” หรือกระโถนฤๅษี ดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางของตัวดอกโดยประมาณ 10-25 นิ้ว โดยบัวผุดนั้นมักขึ้นอยู่ตามพื้นดิน และจะบานในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงมกราคม นอกจากนี้แล้วอาจพบปาล์มหลังขาว เป็นอีกหนึ่งพันธุ์ไม้หายาก รวมทั้งสัตว์แปลกๆ ที่หายากและมีความน่าสนใจมากมาย เช่น กบทูด และปลามังกร

เขื่อนรัชชประภา
‘เขื่อนรัชชประภา’ หรือที่ รู้จักกันดีในชื่อ “เขื่อนเชี่ยวหลาน” อันเป็นชื่อดั้งเดิม ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเขื่อนรัชชประภาที่ใช้ในปัจจุบัน อันเป็นชื่อพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง ตัวเขื่อนรัชชประภานั้น เป็นเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียวอเนกประสงค์มีความสูง 95 เมตร ยาว 700 เมตร ทะเลสาบเหนือเขื่อนเต็มไปด้วย ภูเขาหินปูนธรรมชาติที่มีรูปร่างต่างๆ ชวนแปลกตา และเมื่อธรรมชาติได้ วางผืนน้ำเคียงข้างกำแพงแห่งขุนเขาหินปูน อย่างลงตัวราวกับบรรจงสร้างมาเลยทีเดียว ได้ทำให้ที่นี่กลายเป็นเหมือนโลกใบใหม่ที่คลุมด้วยความสงบงดงาม

หินตา หินยาย
‘หินตา หินยาย’ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่หินแกรนิตถูกกัดเซาะโดยน้ำทะเลและความร้อนจนกลายเป็นเป็นโขดหินรูปร่าง ประหลาด และชาวบ้านก็ตั้งชื่อให้ว่า “หินตาหินยาย” ทั้งนี้ ตำนานแห่งหินตาหินยายนั้นเป็นเรื่องท้องถิ่น ที่เล่าสืบกันมาว่า นานมาแล้ว ตายายคู่หนึ่ง ชื่อตาเครงกับยายเรียม ทั้งสองนั้นเป็นชาวปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ได้เดินทางโดยเรือใบเพื่อไปสู่ขอลูกสาวของตาม่องล่าย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ให้ลูกชายของตน ครั้นเรือได้แล่นมาถึงบริเวณอ่าวละไม เกาะสมุย แต่เกิดพายุใหญ่ทำให้เรือล่ม ทั้งตาและยายจึงเสียชีวิตลง ร่างของทั้งสองถูกคลื่นซัดขึ้นเกยมาที่หาด จนกลายเป็นหินดังที่เห็นในปัจจุบัน

วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร
ปูชนียสถานที่มีทั้งความเก่าแก่และความสำคัญมากที่สุดที่หนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งสะท้อนเห็นถึงความเฟื่องฟูแห่งพุทธศาสนาที่มาหยั่งรากในภาคใต้ของไทย โดยองค์พระเจดีย์ สร้างขึ้นตามแบบลัทธิมหายาน ในสมัยที่อาณาจักรศรีวิชัยยังคงครองความรุ่งเรือง รอบองค์พระธาตุมีเจดีย์เล็กๆอยู่ทั้ง 4 ทิศ ล้อมรอบไว้ด้วยวิหารคด ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปที่เก่าแก่ขนาดต่างๆ โดยรอบทั้ง 4 ด้าน การได้มาเยี่ยมชมวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหารแห่งนี้นั้น จึงเป็นเหมือนการเปิดหน้าต่างบานใหญ่ที่จะทำให้เรามองเห็นภาพอันสวยงาม จากครั้งหนึ่งในอดีตของจังหวัดสุราษฎร์ธานี

ติดตามสถานที่น่าสนใจอื่นๆได้อีก http://travel.sanook.com/

3 หาดดัง 3 เกาะเด็ด ที่จังหวัด ‘ชุมพร’

3 หาดดัง 3 เกาะเด็ด ที่จังหวัด ‘ชุมพร

ชุมพร ประตูสู่ภาคใต้ และหัวเมืองหน้าด่านในอดีต อดีตเมือง 12 นักษัตรนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีพร้อมทั้งป่าไม้ ทะเล อีกทั้งยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน เป็นอะไรที่ยากนักที่ทุกอย่างจะพร้อมสรรพในจังหวัดเดียว มาลองทำความรู้จักชุมพรสักนิด แล้วจะรู้ว่าที่นี่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

พูดถึงภาคใต้ต้องนึกถึงทะเลใช่ไหมละ จังหวัดชุมพรก็มีหาดทรายสวยๆ เช่นกัน บทความนี้จะพาคุณไปพบกับ 3 หาดเด่นของ จังหวัดชุมพร

1. หาดทรายรี
หาดทรายสวยงามแห่งอำเภอสวี เป็นชายหาดขนาดใหญ่ที่ทอดตัวขนานไปพร้อมกับทิวมะพร้าว ที่ยืนต้นเรียงรายเป็นแนวยาว ให้บรรยากาศที่เงียบสงบเหมาะสำหรับการพักผ่อน พร้อมชมวิถีชีวิตชาวประมงที่เรียบง่าย อยู่ไม่ไกลกันนัก นอกจากนี้บริเวณหาดยังมีบ้านพักให้บริการพร้อม

2. หาดตะวันฉาย
ความสวยงามของชายหาดแห่งนี้นั้นคือ ทิวมะพร้าวที่เรียงรายเป็นแนวยาวเคียงคู่กับหาดทรายที่ขาวเนียน มีบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อนในโลกส่วนตัว ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวสามารถเดินไปชม วิถีชีวิตประมงแบบพื้นบ้านในชุมชนประมงที่อยู่ไม่ไกล จากชายหาดแห่งนี้

3. หาดถ้ำธง
ชุมพรขึ้นชื่อเรื่องแนวหาดทรายยาวที่ขนานไปกับท้องทะเลอ่าวไทย และหาดถ้ำธงนี้ก็เป็นหนึ่งในหาดทราย สวยงามที่ทอดยาวกว่า 5 กิโลเมตร ทอดตัวยาวไปถึงอำเภอบางเบิด เขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เลยทีเดียว ความน่าสนใจของหาดนี้คือ แนวหาดทรายละเอียด มีเทือกเขาหินปูนรูปทรงแปลกตาน่าสนใจและหมู่บ้านชายทะเล มาแต่งแต้ม ให้เป็นมิติที่สวยงามขึ้น ทั้งยังมีถนนเลียบชายหาดที่ดูร่มรื่นด้วยทิวสนไปตลอดเส้นทาง บริเวณนี้ช่างเหมาะกับการขับรถเที่ยวหรือปั่นจักรยานชมวิวชายทะเลรับลมเย็นๆยิ่งนัก

จังหวัด ชุมพรไม่ได้มีแค่หาดสวยๆเท่านั้น ถ้าหลายคนๆไปเดินหาดแล้วจะเห็นอะไร? เห็นเกาะหรอ ใช่แล้ว! เกาะ! ชุมพรก็มีเกาะสวยๆ เช่นกัน

1. เกาะทะลุ
อยู่ห่างจากปากน้ำชุมพรประมาณ 13 กิโลเมตร เป็นเกาะหินปูนเล็กๆ บนเกาะนั้นมีโพรงถ้ำขนาดใหญ่อยู่หลายถ้ำ อยู่คร่อมผิวน้ำ สามารถมองลอดทะเลหรือจะว่ายน้ำไปยังฝั่งตรงข้ามได้เช่นกัน และเป็นแหล่งดำน้ำไว้ดูปะการัง หรือะเป็นดอกไม้ทะเลรอบเกาะ ในช่วงเดือนมีนาคม-เดือนเมษายนจะมีนกนางนวลมาวางไข่จำนวนมากอีกด้วย สามารถเช่าเรือจากหาดภราดรภาพ บนเกาะจะไม่มีที่พัก สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร โทร. 07-755-8144-5

2. เกาะมะพร้าว
เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีหาดทรายสีขาวนวลยาว 100 เมตรแห่งนี้ ยังคงมีสภาพภูมิทัศน์ธรรมชาติเดิมๆไว้ มาพร้อมกับแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ในทางตะวันตกของเกาะ นักท่องเที่ยวสามารถลงเล่นน้ำ พร้อมกับดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเกาะมะพร้าวนั้นเป็นเกาะสัมปทานรังนกนางแอ่น หากต้องการขึ้นชมเกาะนี้ จำเป็นต้องแจ้งสำนักงานจังหวัดชุมพรทราบล่วงหน้าก่อน อย่างน้อย 1 สัปดาห์ โทร. +66 7751 1551 เพื่อสะดวกในการจัดหาเจ้าหน้าที่นำชมเกาะ รวมถึงการดำน้ำชมปะการังรอบเกาะ

3.เกาะละวะ
เกาะเล็กๆ อีกแห่งในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ที่นี่นักท่องเที่ยวนิยมชวนกันไปดำน้ำชมปะการังรอบเกาะ ทำให้หลายคนตื่นเต้นกับปะการังที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะดอกไม้ทะเลนั้น นับว่ามีสีสันงดงามอย่างมาก

ติดตามสถานที่เที่ยวทั่วไทยได้อีกมากมายที่  http://travel.sanook.com/

5 ร้านเด็ด ข้าวซอย..เมืองเชียงใหม่..ต้องลอง

5 ร้านเด็ด ข้าวซอย..เมืองเชียงใหม่..ต้องลอง


5 ร้านข้าวซอย 'เชียงใหม่' ที่ต้องลอง

"ข้าวซอย" นับเป็นเมนูขึ้นชื่อ จ.เชียงใหม่ ที่หลายคนมักจะคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี บทความนี้แนะนำคูรให้รู้จัก 5 ร้านข้าวซอยที่ใครไป จ.เชียงใหม่ แล้วต้องลอง ใครๆก็ต่างก็ยกนิ้วให้
1. ข้าวซอยแม่มณี

เป็นร้านเล็กๆที่เปิดมากว่า 30 ปี ทีเด็ดของร้านแม่มณีนี้ก็คือน้ำข้าวซอยเข้มข้น จึงมีหนังสือมากมายสนใจในสูตรของร้านนี้กันเลยทีเดียว

อยู่ที่ : ซอย 24 ถนนโชตนา (ซอยข้างขึ้นทะเบียนต่างด้าว) จ.เชียงใหม่

เปิด-ปิด : 08.00-16.00 (หยุดวันพระ)

2. ข้าวซอยลำดวน

เป็นอีกร้านที่ต้องลอง เปิดกันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่2 นับแล้วก็มีอายุประมาณ 70ปี เลยทีเดียว เป้นสูตรที่แม่ลำดวนมาดัดแปลงจนเกิดเป็นสูตรใหม่ที่ลงตัว น้ำข้าวซอยที่ได้รสชาติกลมกล่อม เผ็ดกำลังดี และมีเนื้อสัตว์ให้เลือก 4 แบบ คือ หมู ไก่ เนื้อและปลา

อยู่ที่ : ถนนเจริญราษฎร์ ต.ฟ้าฮ่าม (สาขา 1), ถนนซุปเปร์ไฮเวย์ ก่อนจะถึงแยกข่วงสิงห์ (สาขา 2), บ้านบวกหัวช้าง ต.ท่าวังตาล สารภี (สาขา 3) จ.เชียงใหม่

เปิด-ปิด : 08.30-16.00

3. ข้าวซอยนิมมาน

นักท่องเที่ยวที่ได้ไปเยือนนิมมานเหมินทร์ ต่างต้องไปชิมข้าวซอยนิมมานกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ชื่นชอบ ติดอกติดใจในความอร่อย ทางร้านยังใช้ผักปลอดสารพิษ ทั้งดีต่อสุขภาพ ทั้งอิ่ม ทั้งอร่อย อีกด้วย

อยู่ที่ : นิมมานเหมินท์ ซอย 7 ต.สุเทพ จ.เชียงใหม่

เปิด-ปิด : 11.00-22.00

4. เฮือนจันทร์เป็ง

"ของดี ไม่ได้หากันง่ายๆ" สโลแกนนี้คงต้องร้านนี้เลย เฮือนจันทร์เป็ง เพราะเป็นร้านเล็กๆในอ.สันกำแพง แต่ถ้าอยากกินของอร่อยก็ต้องยอมมา ราคาย่อมเยา อยู่เลยวัดทรายมูลมานิดนึง ต้องดูทางเข้าดีๆ แล้วจะเจอ

อยู่ที่ : หมู่ 6 ต.ทรายมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่

เปิด-ปิด : 08.00-16.00

5. ร้านป้าหรั่ง

ร้านนี้ค่อนข้างซับซ้อน ถ้าไม่ชำนาญคงได้หลงทางแน่นอน อยู่ในซอยบ้านใหม่หลังมอ 4 เมื่อเจอแยกหน้าวัดอุโมงค์ ให้เลี้ยวซ้าย และขับตรงต่อไปก็ถึงแล้ว แต่อย่างที่ว่ากันของดีมักหายาก ราคาก็ถูกมากเริ่มที่ 30 บาทเท่านั้นเอง

อยู่ที่ : ซอยบ้านใหม่หลังมอ 4 ต.สุเทพ จ.เชียงใหม่

เปิด-ปิด : 8.00-16.00

หาของอร่อยกินอีกได้ที่ http://travel.sanook.com/

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

มาเที่ยว จังหวัด อุบลราชธานี กันเถอะ!!

มาเที่ยว จังหวัด อุบลราชธานี กันเถอะ

สามพันโบก เป็นหนึ่งในสุดยอดแหล่งท่องเที่ยวของ จ.อุบลราชธานี ถ้ามาที่ จ.อุบลราชธานี ต้องมาเยือนที่นี่ให้ได้ หลังจากสายน้ำในแม่น้ำโขงลดลง จะเผยให้เห็นเกาะแก่งหินที่กระแสน้ำขัดเกลาด้วยอย่างรุนแรงมาเป็นเวลาหลายพันปี จนกลายเป็นประติมากรรมธรรมชาติกว่า 3000 แอ่ง กินบริเวณกว้างไกลสุดตายตา จึงเป็นที่มาของชื่อ สามพันโบก เพราะ โบก ในภาษาอีสานนั้นแปลว่า หลุม
ผาชนะได ตั้งอยู่ที่เขตป่าดงนาทาม เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นจุดแรกของเมืองไทย เป็นชะง่อนผาที่ยื่นตระหง่านไปในฝั่งโขงตอนช่วงฤดูหนาว นอกจากได้ทักทายดวงตะวันสาดแสงเหนือสายน้ำโขงแล้ว ยังเป็นฤดูกาลที่เหล่าดอกไม้ป่าเบ่งบานอวดสีสันบานสะพรั่งรับสายลมหนาว
แม่น้ำสองสี หรือรียกว่าดอนด่านปากแม่น้ำมูล อยู่เขตบ้านเวินบึก นั่งเรือมาจากตัว อ.โขงเจียม ไป 5 นาที เป็นที่ที่แม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน คือแม่น้ำโขงสีปูนกับแม่น้ำมูลสีคราม อยู่ห่างจาก จ.อุบลราชธานี 84 กิโลเมตร
ผาแต้ม จุดชมวิวที่มองเห็นทัศนียภาพของภูเขาเคียงข้างแม่น้ำ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และที่ผาแต้มสามารถรับชมพระอาทิตย์ขึ้นได้เป็นแสงแรกแห่งสยามอีกด้วย
น้ำตกแสงจันทร์ เป็นธารน้ำที่โปรยละอองผ่านช่องหินเป็นสายน้ำสีขาวนวล ยิ่งในคืนวันเพ็ญยามแสงจันทร์จะสาดกระทบสายน้ำตก ทำให้ดูเป็นประกายสีนวลสวยงามจับตา และเมื่อสายน้ำจะกระทบสู่พื้นล่างด้วยแล้ว น้ำยังกระจายตัวออกเป็นรูปหัวใจดูน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
พระบรมธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ มีแบบจำลองมาจากพระเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รอบองค์พระธาตุนั้นเป็นกำแพงแก้ว ซึ่งทั้ง 4 มุม ของกำแพงแก้ว มีประดิษฐานพระเจดีย์ขนาดเล็กอีก 4 องค์ ภายในองค์พระธาตุจะมีประตูทางเข้าทั้ง 4 ด้าน

ประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา จ.อุบลราชธานี รับชมขบวนแห่เทียน มีทั้งประเภทแกะสลักและติดพิมพ์ พร้อมขบวนฟ้อนรำของคุ้มวัดต่างๆ ที่ส่งเทียนเข้าประกวด รวมถึงงานแสดงสินค้าต่างๆ ชมการแกะสลักปะติมากรรมของศิลปินต่างประเทศ และกิจกรรมเยี่ยมเยือนชุมชนคนทำเทียนเยือนคุ้มวัดต่างๆในเมืองอุบลราชธานี
และสุดท้าย “หาดชมดาว” เป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen แห่งใหม่ในภาคอีสาน จ.อุบลราชธานี เลยก็ว่าได้ โดยหาดชมดาวเป็นแนวหาดหิน แก่งหิน ที่กว้างใหญ่และทอดยาวหลายร้อยเมตรบนบริเวณแม่น้ำโขง ช่วงหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำโขงจะลดจนปรากฎโขดหิน ซึ่งสร้างความแปลกตากว่าทุกแห่งที่พบมาบนแนวแม่น้ำโขงของ จ.อุบลราชธานี ด้วยเนินหิน แก่งหิน ที่สร้างรูปทรงและลวดลายที่แตกต่างออกไป ที่เกิดจากกระแสน้ำกัดเซาะ ผ่านช่องแคบของแม่น้ำโขงที่ไหลผ่าน ทำให้เกิดเป็นงานประติมากรรมที่สวยงามใหม่ขึ้น ในบางช่วงจะมีจุดแคบๆ มีสายน้ำเล็กๆไหลผ่านกลางช่องที่ระหว่างโขดหิน ซึ่งหากมองจากฝั่งตรงข้ามจะทำให้เห็นลวดลายหินเป็นลายพลิ้วไหวของกระแสน้ำ ซึ่งเป็นอะไรที่สวยงามมาก
ส่วนการชมความงามของหาดชมดาวนั้น ควรจะชมในช่วงเช้าและช่วงบ่าย ไม่แนะนำให้มาเที่ยงเพราะอากาศจะร้อนมาก และหากอยากชมพระอาทิตย์ขึ้นให้มาในช่วงเช้าก่อน 8 โมง เพราะหลังจากเวลานั้นไปแดดแรงมาก ที่อุบลราชธานีเป็นจังหวัดที่พระอาทิตย์ขึ้นเร็วกว่าจังหวัดอื่น พระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง และช่วงที่เหมาะจะมาเที่ยวนั้นก็คือ ตั้งแต่ เดือนธันวาคมถึงเมษายน
ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากใน จ.อุบลราชธานี แวะเข้ามาเที่ยว อุบลราชธานีกันเยอะๆนะครับ

ติดตามที่เที่ยวจังหวัดอื่นๆได้อีกที่ http://travel.sanook.com/

‘Dine in the Dark’ ร้านอาหารในความมืด...จ.กรุงเทพฯ

‘Dine in the Dark’ ห้องอาหารในความมืด...จ.กรุงเทพฯ

มาลองเปลี่นบรรยากาศการทานอาหารกันเถอะ...ที่ Dine in the Dark ห้องอาหารสุดมืดในกรุงเทพฯ ซ่อนตัวอยู่ในโรงแรม Sheraton Grand Sukhumvit ที่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก โดย BTS อโศก
ห้องอาหารนี้ตั้งอยู่ที่ชั้น G ของโรงแรม ภายในจะต้อนรับลูกค้าด้วยบาร์ที่หรูหรา นั่งพักผ่อนก่อนรับบริการจากเหล่าพนักงานเซอร์วิสสุดประทับใจ ที่จะมารับออเดอร์ โดยจะมีเมนูชุดเซ็ตอยู่ 4 แบบ คือ เมนูเอเชีย เวสเทิร์น มังสวิรัติ และเมนูเซอร์ไพรส์
หลัจากเลือกเมนูแล้ว ก็เตรียมปิดโทรศัพท์มือถือ และถอดเครื่องประดับที่มีไฟหรือสะท้อนแสงออ เพราะเรากำลังจะเข้าไปในห้องมืดสนิท ที่จะมีพนักการผู้พิการทางสายตา มาเป็นไกด์คอยดูแลท่านตลอดการรับประทานอาหาร ทั้งพาไปที่โต๊ะและเสิร์ฟอาหารให้เรา โดยการกินในความมืดจะช่วยเพิ่มการใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดในการลิ้มรสชาติ และยังน่าตื่นเต้นมากอีกด้วย
อาหารที่แต่ละท่านจะได้จะมีตั้งแต่ อาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลักและของหวาน ในราคาท่านละ 1,450 บาทต่อท่าน โดยทางโรงแรมจะร่วมบริจาค 50 บาทเพื่อสมทบมูลนิธิช่วยคนตาบอด ใครที่สนใจสามารถแวะมาลองกันได้ทุกวัน อังคาร-เสาร์ เวลา 18.30 น. เป็นต้นไป

ติดตามอาหารใหม่อีกได้ที่ http://travel.sanook.com/

หนีความวุ่นวาย...กรุงเทพฯ...มาที่..."สี่แยกหัวตะเข้ คาเฟ่ & เกสต์เฮ้าส์"

หนีความวุ่นวาย...กรุงเทพฯ...มาที่..."สี่แยกหัวตะเข้ คาเฟ่ & เกสต์เฮ้าส์"

เกสต์เฮ้าส์สุดเก๋ไก๋ ตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ในด้านวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อ พร้อมกับบรรยากาศริมน้ำแสนสงบสบาย เหมาะกับการพักผ่อนจากงานหนักที่ผ่านมา ที่สำคัญยังอยู่ในกรุงเทพฯ อีกด้วย
การตกแต่งเน้นเรียบง่ายแฝงมีกลิ่นอายความโบราณของไทย โดยใช้ไม้เป็นส่วนประกอบ เช่นเฟอร์นิเจอร์ ตู้ โต๊ะ ห้องพักก็ตกแต่งแบบเรียบง่าย ดูสบายๆ แบบสมัยก่อน แต่ก็ใช้ชีวิตได้สบายไม่ได้ลำบาก แต่ละห้องก็จะมีระเบียงเพื่อชมบรรยากาศริมน้ำอีกด้วย
ตอนเช้าจะมีพระมาบิณฑบาตทางเรือ ได้ทั้งสุขและบุญ
ที่นี่ให้อารมณ์วิถีชีวิตไทยริมน้ำในสมัยโบราณ นอกจากจะได้ย้อนยุคแล้วยังได้พักผ่อนไปด้วย
‘สี่แยกหัวตะเข้ คาเฟ่ & เกสต์เฮ้าส์’ ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ที่พักเพียงเท่านั้น ยังมีคาเฟ่ไว้บริการสำหรับคนไม่ต้องการค้างคืนด้วย
คาเฟ่ที่นี่มีกลิ่นอายในสมัยก่อน บรรยากาศริมน้ำ ร่มรื่นด้วยไม้ประดับ รับประทานแบบสบายๆ หากมาคนเดียวทางร้านก็มีบาร์สำหรับนั่งรับประทานให้บริการ
หากใครชื่นชอบกับการใช้ชีวิตไทยในสมัยก่อน พักผ่อนริมน้ำ สัญจรไปทางน้ำแบบไทยในอดีต และอยากหลบหนีจากตัวเมืองกรุงเทพฯที่ วุ่นวาย เร่งรีบ เสียงดัง ที่นี่ก็ตอบโจทย์ท่านอย่างยิ่ง

รายละเอียด ‘สี่แยกหัวตะเข้ คาเฟ่ & เกสต์เฮ้าส์’

ที่ตั้ง : 162 ตลาดหัวตะเข้ แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ

โทร : 081-514-6636

เปิด-ปิด : 11:00 - 19:00

FB Page : สี่แยกหัวตะเข้ คาเฟ่ & เกสต์เฮ้าส์

เพิ่มเติมสถานที่ต่างๆได้อีกที่ http://travel.sanook.com/